คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับไตรมาส 3

ที่ 1000 / 237 / 2548 22 พฤศจิกายน 2548 เรื่อง คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2548 เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สิ่งที่ส่งมาด้วย คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ มีการจัดทำคำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการทุกไตรมาส เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถเข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดียิ่งขึ้นนอกเหนือจากข้อมูลตัวเลข ในงบการเงิน อีกทั้งเพื่อให้ผู้ลงทุนได้มีข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัท ตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (GOOD GOVERNANCE) ในเรื่องการให้ความสำคัญต่อการเปิดเผยข้อมูล นั้น บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบียนหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ได้ให้ความสำคัญต่อการดำเนินกิจการอย่างโปร่งใสตามแนว นโยบายบรรษัทภิบาล จึงได้จัดทำและใคร่ขอนำส่งคำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 ดังรายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอแสดงความนับถือ (นายปฏิภาณ สุคนธมาน) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน สำนักแผนกิจการและนักลงทุนสัมพันธ์ โทร 0 -2335-4583 คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2548 ข้อมูลทั่วไป บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2528 โดย รัฐบาล ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยมุ่งหมายให้ดำเนินการแบบเอกชน และเป็นบริษัทน้ำมันของคนไทย ที่ดำเนินกิจการสอดคล้องกับประโยชน์ของคนไทยและสังคมไทย ปัจจุบันบริษัทฯ ประกอบธุรกิจจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูป ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง และบริหารกิจการ โรงกลั่นน้ำมันขนาด 120,000 บาเรลต่อวัน ซึ่งก่อสร้างใหม่ทดแทนหน่วยเดิม โดยหน่วยกลั่นล่าสุดแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2536 การออกแบบกระบวนการกลั่นเน้นการผลิตได้น้ำมันสะอาด ประหยัดพลังงาน และให้ผลผลิตสูง อีกทั้ง บริษัทฯ มีการขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันออกไปประมาณ 1,100 แห่ง ทั่วประเทศ โดยเป็นสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ประมาณ 600 แห่ง และปั๊มชุมชนขนาดเล็กประมาณ 500 แห่ง ภาพรวมธุรกิจไตรมาส 3 ปี 2548 สำหรับไตรมาส 3 ปี 2548 บริษัทฯ ดำเนินกิจการภายใต้การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความต้องการใช้น้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับกำลังการผลิต ประกอบกับ ความวิตกในเหตุการณ์พายุเฮอริเคนในประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งส่งผลให้โรงกลั่นหลายแห่งต้อง หยุดดำเนินการชั่วคราว ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลในตลาดโลกและ ตลาดสิงคโปร์ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก แต่อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเตาได้ปรับตัวขึ้นในอัตราที่น้อยกว่า ราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปชนิดอื่น ส่งผลให้ โรงกลั่นที่ให้ผลผลิตน้ำมันเตาค่อนข้างมากมีข้อจำกัด ในการใช้กำลังการผลิต สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันในประเทศ หลังจากรัฐบาลได้ตัดสินใจ ประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา การปรับราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมันทำ ได้ช้ากว่าต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามราคาน้ำมันสำเร็จรูปในตลาดโลก ส่งผลให้ค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำมาก ส่วนยอดจำหน่ายน้ำมันของบริษัทฯ มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ตรงข้ามกับการบริโภคน้ำมันของทั้งประเทศที่มีการชะลอตัวลงจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันทั้งเบนซินและ ดีเซล โดยมีผลมาจากการที่บริษัทฯ เป็นผู้นำในการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์โดยมีสถานีบริการ ที่จำหน่ายมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศ ประกอบกับ มีการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดสถานีบริการของบริษัทฯ ปรับตัวสูงขึ้น 1. คำอธิบายและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 ปี 2548 เปรียบเทียบไตรมาส 3 ปี 2547 1.1 การวิเคราะห์กำไรขาดทุน 1) ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2548 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวมจำนวน 1,250 ล้านบาท ประกอบด้วยผลกำไรของบริษัท บางจากฯ จำนวน 1,250 ล้านบาท และผลกำไรของบริษัท บางจาก กรีนเนท 4 ล้านบาท แต่หักกำไรระหว่างกัน 4 ล้านบาท 2) ผลการดำเนินงานบริษัท บางจากฯ มี EBITDA 1,882 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 1,542 ล้านบาท อยู่ 340 ล้านบาท เป็นผลมาจากปัจจัยหลักดังต่อไปนี้ -EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่น 2,172 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1,548 ล้านบาท อยู่ 624 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 3 ปี 2548 บริษัทฯ มีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.36 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 1.26 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันของภูมิภาคได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับกำลังการผลิต ส่งผลให้กำลังการผลิตส่วนเกินใกล้หมดไป ค่าการกลั่นจึงมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับ ในไตรมาส 3 ปี 2548 โรงกลั่นหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาได้หยุดดำเนินการจากเหตุการณ์พายุเฮอริเคน ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาสู่ราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์และค่าการกลั่นในทิศทางเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเตาได้ปรับตัวขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปชนิดอื่น ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องลดการใช้กำลังการกลั่นลง โดยการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 58 พันบาเรลต่อวัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 89 พันบาเรลต่อวัน เพื่อลดปริมาณการผลิตน้ำมันเตาให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและรักษาระดับค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับสูง โดยเลือกจำหน่ายเฉพาะในตลาดที่มีกำไร และส่งน้ำมันเตาไปเพิ่มมูลค่าที่โรงกลั่นไทยออยล์ให้มากที่สุด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 1,100 ล้านบาท หรือ 4.39 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง -EBITDA จากธุรกิจการตลาด -290 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่ -6 ล้านบาท อยู่ 284 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 3 ปี 2548 ค่าการตลาด (ไม่รวมน้ำมันเครื่องบิน) ได้ปรับลดลงเป็น -23 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 37 สตางค์ต่อลิตร ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับราคาขายปลีกได้ช้ากว่าต้นทุนที่มีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีกำไรจากการขายน้ำมันเครื่องบิน จำนวน 32 ล้านบาท หรือ 0.38 บาทต่อลิตร เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีผลขาดทุนจากการขายน้ำมันเครื่องบิน 109 ล้านบาท หรือ -0.94 บาทต่อลิตร สำหรับปริมาณการจำหน่ายในตลาดบางจากลดลงเป็น 48.6 พันบาเรลต่อวัน เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 55.1 พันบาเรลต่อวัน จากการเลือกที่จะจำหน่ายเฉพาะในตลาดที่มีกำไรสูงในช่วงที่มีค่าการตลาดต่ำและมีการจำกัดปริมาณการผลิต 1.2 การวิเคราะห์รายได้ รายได้รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยจำนวน 21,472 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ของบริษัท บางจากฯ จำนวน 21,254 ล้านบาท และรายได้ของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 2,930 ล้านบาท ในรายได้ดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันจำนวน 2,712 ล้านบาท โดยรายได้ของบริษัท บางจากฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักคือ 1) รายได้จากการขายน้ำมัน 21,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 378 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายน้ำมันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 54.8% (ราคาน้ำมันเฉลี่ย 18.55 บาท/ลิตร เทียบกับ 11.98 บาท/ลิตร) แต่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบลดลงรวม 33.7% 2) บริษัทฯ มีการบันทึกกำไรจากบริษัทย่อยตามวิธีส่วนได้เสียในไตรมาส 3 ปี 2548 จำนวน 11 ล้านบาท 1.3 การวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยจำนวน 20,222 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากฯ จำนวน 20,004 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากกรีนเนทจำนวน 2,926 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันจำนวน 2,708 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักคือ 1) ต้นทุนขายจำนวน 19,111 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 121 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยกว่า 20 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาเรล เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่ปริมาณการกลั่นและจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปลดลงรวม 33.7% 2) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 358 ล้านบาท เท่ากับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่มีค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงหลัก คือ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรลดลงจากการที่ในช่วงไตรมาส 3 ปีก่อน มีโครงการ Early Retirement หักลบกับค่าใช้จ่ายขนส่งน้ำมันเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น และค่าซ่อมบำรุงสถานีบริการที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันเพื่อการจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 3) บริษัทฯ มีดอกเบี้ยจ่าย 160 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 24 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการทยอยแปลงสภาพของใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้แปลงสภาพรวมจำนวน 1,626 ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2547 เป็นต้นมา ประกอบกับ ได้มีการทยอยชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงด้วยเงินกู้ใหม่จากธนาคารกรุงไทยซึ่ง มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า 4) บริษัทฯ มีภาษีเงินได้จำนวน 302 ล้านบาท จากการที่บริษัทฯ สามารถทำกำไรได้มากกว่าผลขาดทุนสะสมทางภาษียกมา (Tax Credit) ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องเริ่มจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล 2. คำอธิบายและการวิเคราะห์ฐานะการเงินสำหรับ ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 เปรียบเทียบ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 2.1 สินทรัพย์ 1) สินทรัพย์รวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 มีจำนวน 36,010 ล้านบาท ประกอบด้วยสินทรัพย์ของบริษัท จำนวน 35,898 ล้านบาท และบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 501 ล้านบาท ในสินทรัพย์ดังกล่าวมีสินทรัพย์ระหว่างกันจำนวน 389 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบัญชีลูกหนี้ระหว่างกันที่บริษัทฯ ให้เครดิตการค้าประมาณ 15 วันกับบริษัท บางจากกรีนเนท 2) สินทรัพย์รวมของบริษัท บางจากฯ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 มีมูลค่าลดลงจำนวน 1,629 ล้านบาท ประกอบด้วยสินทรัพย์หลักที่ลดลงคือ - เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 537 ล้านบาท ลดลง 1,357 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 เนื่องจากในช่วงสิ้นเดือนกันยายน 2548 บริษัทฯ มีการชำระค่าน้ำมันดิบจำนวน 1,192 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดเงินสดลดลง - ลูกหนี้/ตั๋วเงินรับการค้า มีมูลค่า 3,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับเพิ่มสูงขึ้น แต่บริษัทฯ ได้ลดปริมาณการจำหน่ายลงในช่วงที่ค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำ - สินค้าคงเหลือรวมทั้งสิ้นเท่ากับ 13,854 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,907 ล้านบาท หรือร้อยละ 39 เนื่องจากราคาเฉลี่ยก็ได้ปรับเพิ่มขึ้น 5.56 บาท/ ลิตร หรือร้อยละ 50 แต่ปริมาณสินค้าคงเหลือลดลง 64 ล้านลิตร หรือร้อยละ 7.2 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา - เงินชดเชยกองทุนน้ำมันค้างรับจำนวนเงิน 438 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2547 จำนวน 905 ล้านบาท เป็นผลมาจากรัฐประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลในช่วงไตรมาส 2 ปี 2548 ที่ผ่านมา 2.2 หนี้สิน 1) หนี้สินรวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 จำนวน 23,154 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินของบริษัทจำนวน 23,042 ล้านบาท และของบริษัทบางจากกรีนเนท จำนวน 457 ล้านบาท ซึ่งในหนี้สินของบริษัทบางจากกรีนเนท เป็นหนี้ระหว่างกันกับบริษัท จำนวน 345 ล้านบาท 2) หนี้สินรวมของบริษัท บางจากฯ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 มีมูลค่าลดลง 1,447 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินหลักที่เปลี่ยนแปลงคือ - เงินกู้รวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 เพิ่มขึ้น 141 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 เป็นผลมาจากการเบิกเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคารกรุงไทยเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมจำนวน 1,050 ล้านบาท และมีการเบิกเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารกรุงไทยจำนวน 700 ล้านบาท เพื่อใช้ชำระหนี้เงินกู้บางส่วนที่ครบกำหนดชำระใน 9 เดือนแรกของปีรวมจำนวนทั้งสิ้น 1,373 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วงปี 2548 มีผู้ถือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้แปลงสภาพ (CDDR) ได้ขอใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญมูลค่ารวม 236 ล้านบาท - ยอดเจ้าหนี้การค้าจำนวน 6,055 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 ลดลง 1,528 ล้านบาท เนื่องจากการลดปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันดิบลง เพื่อรักษาระดับค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับสูง และลดความเสี่ยงจากการขาดทุนจาก สต๊อกน้ำมันหากราคาน้ำมันปรับลดลง - ในไตรมาส 3 ปี 2548 บริษัทฯ ต้องเริ่มจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน 302 ล้านบาท จากการที่บริษัทฯ สามารถทำกำไรได้มากกว่าผลขาดทุนสะสมทางภาษียกมา (Tax Credit) แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไว้ ประมาณ 35 ล้านบาท ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 บริษัทฯ มีการตั้งภาษีเงินได้ค้างจ่ายจำนวน 267 ล้านบาท 2.3 ส่วนของผู้ถือหุ้น 1) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 รวมจำนวน 12,857 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท บางจากฯ จำนวน 12,856 ล้านบาท และเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 0.5 ล้านบาท 2) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท บางจากฯ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 เพิ่มขึ้น 3,077 ล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 2547 เนื่องจากบริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิในเก้าเดือนแรกปี 2548 จำนวน 3,005 ล้านบาท ประกอบกับ มีผู้ถือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้แปลงสภาพ (CDDR) ได้ขอใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญมูลค่ารวม 236 ล้านบาท (บันทึกอยู่ในทุนจดทะเบียน 16 ล้านบาท และบันทึกอยู่ในส่วนเกินมูลค่าหุ้น 220 ล้านบาท) ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 มีจำนวน 12,857 ล้านบาท 3.คำอธิบายและการวิเคราะห์งบกระแสเงินสด สำหรับเก้าเดือนแรกปี 2548 เปรียบเทียบช่วงเดียวกัน ปี 2547 3.1 ใน 9 เดือนแรกปี 2548 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรจากการดำเนินงานที่เป็นเงินสดจำนวน 3,602 ล้านบาท เป็นกำไรจากการดำเนินงานที่เป็นเงินสดของบริษัท บางจากฯ จำนวน 3,549 ล้านบาท และกำไรจากการดำเนินงานที่เป็นเงินสดของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 53 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีเงินสดต้นงวดยกมา 2,213 ล้านบาท เป็นเงินสดต้นงวดของบริษัท บางจากฯ จำนวน 1,894 ล้านบาท และเป็นเงินสดต้นงวดของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 319 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ใช้เงินสดดังกล่าวในกิจกรรมต่างๆ จำนวน 5,105 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นเงินสดใช้ไปในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานจำนวน 4,767 ล้านบาท และเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นๆ จำนวน 715 ล้านบาท โดยมีเงินสดได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงินจำนวน 377 ล้านบาท ดังนั้น คงเหลือเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 จำนวน 710 ล้านบาท โดยเป็นเงินสดของบริษัท บางจากฯ จำนวน 537 ล้านบาท และเป็นเงินสดของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 172 ล้านบาท 3.2 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 3,005 ล้านบาท บวกกลับค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช้เงินสดจำนวน 544 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานที่เป็นเงินสดจำนวน 3,549 ล้านบาท และ มีเงินสดต้นงวดจำนวน 1,894 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ใช้เงินสดดังกล่าวไปในกิจกรรมดังต่อไปนี้ 1) บริษัทฯ มีเงินสดสุทธิที่ใช้ไปในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน 4,568 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับในช่วงต้นไตรมาส 3 มีการเก็บน้ำมันคงคลังสูงกว่าปกติเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณการกลั่นขายที่ปรับตัวลดลงจากสถานการณ์ค่าการตลาดที่ลด ต่ำลงอย่างรุนแรง ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องใช้เงินสดเพิ่มมากขึ้นในการซื้อน้ำมันดิบเพื่อใช้เป็นน้ำมันคงคลังในกิจกรรมการกลั่น ทั้งนี้ ในช่วงปลายไตรมาส 3 บริษัทฯ ได้ลดปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันดิบลง เพื่อลดปริมาณการเก็บน้ำมันคงคลังให้สอดคล้องกับปริมาณการกลั่นขายที่ลดลงจากการชะลอการกลั่นและจำหน่ายในช่วงที่ ค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำดังกล่าว ส่งผลให้มูลค่าเจ้าหนี้การค้าลดลง 2) บริษัทฯ มีเงินสดที่ใช้ไปในกิจกรรมลงทุนอีก 716 ล้านบาท จากการที่มีการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร-อุปกรณ์ 3) บริษัทฯ มีเงินสดได้มาจากกิจกรรมจัดหาเงิน 378 ล้านบาท จากการเบิกเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคารกรุงไทยเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มเติมจำนวน 1,050 ล้านบาท แต่บริษัทฯ มีหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระใน 9 เดือนแรกของปีจำนวน 1,373 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการเบิกเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารกรุงไทยจำนวน 700 ล้านบาท เพื่อนำมาชำระหนี้ที่ครบกำหนดชำระดังกล่าวส่วนหนึ่ง ดังนั้น ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2548 บริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 537 ล้านบาท ลดลง 1,357 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 4. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต สำหรับธุรกิจน้ำมัน ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานคือค่าการกลั่นและค่าการตลาด โดยในไตรมาส 3 ปี 2548 ราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันเตาได้ปรับตัวสูงขึ้นแต่ไม่มากเท่ากับราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปชนิดอื่นๆ ส่งผลให้ค่าการกลั่นของบริษัทฯ ถูกจำกัดไว้ในระดับหนึ่ง แต่จากการที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการส่งน้ำมันเตาของบริษัทฯ ไปเพิ่มมูลค่าที่โรงกลั่นอื่นก็สามารถลดผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้บางส่วน ซึ่งบริษัทฯ มีความจำเป็นต้องจัดหาแนวทางการลดสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาในระยะยาว เพื่อเพิ่มค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับอุตสาหกรรม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้างหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาเป็นน้ำมันใส ซึ่งจะลดสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาของบริษัทฯ ลงให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับโรงกลั่นอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การปรับราคาขายปลีกทำได้ล่าช้ากว่าต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันเบนซินและดีเซลที่ปรับตัวขึ้นอย่างมากหลังจากรัฐประกาศลอยตัวราคา ซึ่งนอกจากจะทำให้มีค่าการตลาดที่ต่ำแล้วยังส่งผลต่อยอดความต้องการใช้น้ำมันมีการชะลอตัวลงอีกด้วย นอกจากนี้ ระดับราคาน้ำมันก็ยังมีผลกระทบสำคัญต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2546 เป็นต้นมา ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ว่าราคาน้ำมันอาจปรับตัวลดลงในบางช่วงของปี 2548 เนื่องจากมีการปรับฐานของระดับราคาเป็นครั้งคราว แต่บริษัทฯ คาดว่าระดับราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะยังคงอยู่ในระดับที่สูง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันยังมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดังกล่าวอาจส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากมูลค่าสต๊อกน้ำมันที่ลดลง แต่บริษัทฯ ก็มีส่วนงานที่คอยติดตามและบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด จากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ก็อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เช่นกัน เนื่องจากราคาซื้อขายน้ำมัน จะอิงอยู่กับสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. รวมทั้ง บริษัทฯ มีสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. คือ สต๊อกน้ำมัน มากกว่าหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. คือ เจ้าหนี้การค้า ซึ่งหากอัตราแลกเปลี่ยนมีทิศทางที่แข็งค่าขึ้นก็จะส่งผลให้มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิลดลง แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนมีทิศทางอ่อนค่าลงก็จะส่งผลให้มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ทั้งนี้บริษัทฯ ก็มีนโยบายที่จะปรับสัดส่วนสินทรัพย์และหนี้สินที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันเมื่อมีความพร้อม โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้ดำเนินการทำประกันความเสี่ยงดังกล่าวโดยใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่ในตลาดแล้วบางส่วน