ข่าวแจ้งตลาดหลักทรัพย์
ชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2548
ที่ 1000 / 231 / 2548
10 พฤศจิกายน 2548
เรื่อง นำส่งงบการเงินสอบทานแล้ว และชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2548
เรียน กรรมการและผู้จัดการ
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
สิ่งที่ส่งมาด้วย 1. งบการเงินสอบทานแล้วไตรมาส 3 ปี 2548 ฉบับภาษาไทย 1 ฉบับ
2. งบการเงินสอบทานแล้วไตรมาส 3 ปี 2548 ฉบับภาษาอังกฤษ 1 ฉบับ
ตามข้อบังคับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เรื่องการจัดทำและส่งงบการเงินและรายงานเกี่ยวกับ
ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน พ.ศ. 2544 ที่กำหนดให้บริษัท
จดทะเบียนจัดทำและส่งงบการเงินรายไตรมาสที่ผู้สอบบัญชีได้สอบทานแล้ว โดยให้จัดส่งภายใน 45
วันนับแต่วันสุดท้ายของแต่ละไตรมาส นั้น
บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) จึงใคร่ขอนำส่งงบการเงินสำหรับไตรมาส 3 สิ้นสุด
ณ วันที่ 30 กันยายน 2548 ที่ผู้สอบบัญชีได้สอบทานแล้ว และขอชี้แจงผลการดำเนินงานเพิ่มเติม ดังนี้
ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2548 บริษัทฯ มีรายได้รวม 21,254 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย
และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) +1,882 ล้านบาท มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ (หักลบดอกเบี้ยรับ) 155 ล้านบาท
มีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 195 ล้านบาท มีภาษีเงินได้ 302 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไร
สุทธิ 1,250 ล้านบาท (เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2547 มีผลกำไรสุทธิ 1,186 ล้านบาท)
ผลการดำเนินการดังกล่าวมีสาเหตุมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
1) บริษัทฯ มีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) 5.36 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรลสูงกว่าช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน ที่อยู่ที่ระดับ 1.26 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันของภูมิภาค
ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับกำลังการผลิต ส่งผลให้กำลังการผลิตส่วนเกินใกล้หมดไป
ค่าการกลั่นจึงมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับ ในไตรมาส 3 ปี 2548 โรงกลั่นหลายแห่ง
ในสหรัฐอเมริกาได้หยุดดำเนินการจากเหตุการณ์พายุเฮอริเคน ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล
ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาสู่ราคาน้ำมันในตลาดสิงคโปร์และค่าการกลั่นในทิศทาง
เดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเตาได้ปรับตัวขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปชนิดอื่น
ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องลดการใช้กำลังการกลั่นลง เพื่อลดปริมาณการผลิตน้ำมันเตาให้อยู่ในระดับ
ที่เหมาะสมและรักษาระดับค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับสูง โดยเลือกจำหน่ายเฉพาะในตลาดที่มีกำไร
และส่งน้ำมันเตาไปเพิ่มมูลค่าที่โรงกลั่นไทยออยล์ให้มากที่สุด
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 1,100 ล้านบาท จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น
อย่างต่อเนื่อง แต่ยังต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 1,414 ล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 3
ปีก่อน ราคาน้ำมันทาปีสที่บริษัทฯ ใช้เป็นวัตถุดิบในขณะนั้นกว่าร้อยละ 40 ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันเป็นจำนวนมาก โดยการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 58
พันบาเรลต่อวัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 89 พันบาเรลต่อวัน
2) บริษัทฯ มีค่าการตลาด (ไม่รวมน้ำมันเครื่องบิน) อยู่ที่ระดับ -22.6 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าช่วงเดียวกัน
ของปีก่อน ที่อยู่ ที่ระดับ 37 สตางค์ต่อลิตร ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับราคาขายปลีกได้ช้ากว่าต้นทุน
ที่มีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ
มีผลกำไรจากการขายน้ำมันเครื่องบิน จำนวน 32 ล้านบาท หรือ 0.38 บาทต่อลิตร
3) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 358 ล้านบาท เท่ากับช่วงเดียวกันปีก่อน แต่มีค่าใช้จ่าย
ที่เปลี่ยนแปลงหลัก คือ ค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรลดลงจากการที่ในช่วงไตรมาส 3 ปีก่อน มีโครงการ Early
Retirement หักลบกับค่าใช้จ่ายขนส่งน้ำมันเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น และค่าซ่อมบำรุง
สถานีบริการที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งปรับปรุงภาพลักษณ์สถานีบริการน้ำมัน
4) บริษัทฯ มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 155 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 24 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก
การทยอยแปลงสภาพของใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้แปลงสภาพรวมจำนวน 1,626 ล้านบาท
ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2547 เป็นต้นมา ประกอบกับ ได้มีการทยอยชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระที่มี
อัตราดอกเบี้ยสูงด้วยเงินกู้ใหม่จากธนาคารกรุงไทยซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า
5) บริษัทฯ มีภาษีเงินได้จำนวน 302 ล้านบาท จากการที่บริษัทฯ สามารถทำกำไรได้มากกว่า
ผลขาดทุนสะสมทางภาษียกมา (Tax Credit) ส่งผลให้บริษัทฯ ต้องเริ่มจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคล
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ขอแสดงความนับถือ
-ลงนาม-
(นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล)
กรรมการผู้จัดการใหญ่
สำนักแผนกิจการและนักลงทุนสัมพันธ์
โทร. 0 -2335-4583