คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาส 2/2548

ที่ 1000/156/2548 22 สิงหาคม 2548 เรื่อง คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 สิ้นสุด วันที่ 30 มิถุนายน 2548 เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สิ่งที่ส่งมาด้วย คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ มีการจัดทำคำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการทุกไตรมาส เพื่อให้ผู้ลงทุน สามารถเข้าใจฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทได้ดียิ่งขึ้นนอกเหนือจากข้อมูลตัวเลขใน งบการเงิน อีกทั้งเพื่อให้ผู้ลงทุนได้มีข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจลงทุนในหลักทรัพย์ของบริษัท ตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (GOOD GOVERNANCE) ในเรื่องการให้ความสำคัญต่อการเปิดเผยข้อมูลนั้น บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่เป็นบริษัทจดทะเบียนหนึ่งในตลาดหลักทรัพย์ได้ให้ ความสำคัญ ต่อการดำเนินกิจการอย่างโปร่งใสตามแนวนโยบายบรรษัทภิบาล จึงได้จัดทำและใคร่ขอ นำส่งคำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ดังรายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย จึงเรียนมาเพื่อทราบ ขอแสดงความนับถือ -ลงนาม- (นายปฏิภาณ สุคนธมาน) รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานด้านบัญชีและการเงิน สำนักแผนกิจการและนักลงทุนสัมพันธ์ โทร 0 -2335-4583 สำเนาเรียน ผู้อำนวยการฝ่ายจดทะเบียนหลักทรัพย์ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2548 ข้อมูลทั่วไป บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2528 โดยรัฐบาล ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยมุ่งหมายให้ดำเนินการแบบเอกชน และเป็นบริษัทน้ำมันของคนไทยที่ดำเนิน กิจการสอดคล้องกับประโยชน์ของคนไทยและสังคมไทย ปัจจุบันบริษัทฯ ประกอบธุรกิจจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูป ทั้งค้าปลีกและค้าส่ง และบริหารกิจการโรงกลั่นน้ำมัน ขนาด 120,000 บาเรลต่อวัน ซึ่งก่อสร้างใหม่ทดแทนหน่วยเดิม โดยหน่วยกลั่นล่าสุดแล้วเสร็จในปี พ.ศ.2536 การออกแบบกระบวนการกลั่นเน้นการผลิตได้น้ำมันสะอาด ประหยัดพลังงาน และให้ผลผลิตสูง อีกทั้ง บริษัทฯ มีการขยายเครือข่ายสถานีบริการน้ำมันออกไปประมาณ 1,100 แห่ง ทั่วประเทศ โดยเป็นสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ประมาณ 600 แห่ง และปั๊มชุมชนขนาดเล็กประมาณ 500 แห่ง ภาพรวมธุรกิจไตรมาส 2 ปี 2548 สำหรับไตรมาส 2 ปี 2548 บริษัทฯ ดำเนินกิจการภายใต้ความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก โดยราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่มาปรับตัวลดลงในช่วง เดือนพฤษภาคมอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม ในเดือนมิถุนายนราคาน้ำมันก็ได้ปรับตัว เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วต่อเนื่องอีกครั้ง นอกจากนี้ รัฐบาลได้ตัดสินใจประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวมีผลทำให้การปรับราคาขายปลีกของผู้ค้าน้ำมันทำได้ช้ากว่าต้นทุนที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว ส่วนยอดจำหน่ายน้ำมันของบริษัทฯ มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตรงข้ามกับการบริโภค น้ำมันของทั้งประเทศที่มีการชะลอตัวลงจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคาน้ำมันทั้งเบนซินและดีเซล โดยมีผลมาจากการที่บริษัทฯ เป็นผู้นำในการผลิตและจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์โดยมีสถานีบริการที่ จำหน่ายมากกว่า 340 แห่งทั่วประเทศ ประกอบกับ มีการทำกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดสถานีบริการของบริษัทฯ ปรับตัวสูงขึ้น 1. คำอธิบายและวิเคราะห์ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 ปี 2548 เปรียบเทียบไตรมาส 2 ปี 2547 1.1 การวิเคราะห์กำไรขาดทุน 1) ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2548 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิรวมจำนวน 1,317 ล้านบาท ประกอบด้วยผลกำไรของบริษัท บางจากฯ จำนวน 1,317 ล้านบาท และผลกำไรของบริษัท บางจากกรีนเนท 12 ล้านบาท แต่หักกำไรระหว่างกัน 12 ล้านบาท 2) ผลการดำเนินงานบริษัท บางจากฯ มี EBITDA 1,647 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ 1,003ล้านบาท อยู่ 644 ล้านบาท เป็นผลมาจากปัจจัยหลักดังต่อไปนี้ *EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่น 1,561 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 859 ล้านบาท อยู่ 702 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2 ปี 2548 บริษัทฯ มีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) ที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.28 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 1.83 ดอลลาร์ สรอ. ต่อบาเรล ประกอบกับ ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 967 ล้านบาท หรือ 3.70 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 65 พันบาเรล ต่อวัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 85 พันบาเรลต่อวัน ซึ่งเป็นผลมาจากการลดการ สั่งซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งตะวันออกกลางลง เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนจากค่าการกลั่นที่มีโอกาส ปรับลดลง และการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันหากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง * EBITDA จากธุรกิจการตลาด 86 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 144 ล้านบาท อยู่ 58 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 2 ปี 2548 ค่าการตลาด (ไม่รวมน้ำมันเครื่องบิน) ได้ปรับลดลงเป็น 13 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าเป้าหมายที่อยู่ที่ระดับ 44 สตางค์ต่อลิตร ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับราคาขายปลีก ได้ช้ากว่าต้นทุนที่มีการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีกำไร จากการขายน้ำมันเครื่องบิน จำนวน 27 ล้านบาท หรือ 0.34 บาทต่อลิตร สำหรับปริมาณการจำหน่าย ในตลาดบางจากลดลงเป็น 53.7 พันบาเรลต่อวัน เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 55.4 พัน บาเรลต่อวัน จากการเลือกที่จะจำหน่ายเฉพาะในตลาดที่มีกำไรสูงในช่วงที่มีการจำกัดปริมาณการผลิต 1.2 การวิเคราะห์รายได้ รายได้รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยจำนวน 22,307 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ของบริษัท บางจากฯ จำนวน 22,096 ล้านบาท และรายได้ของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 2,578 ล้านบาท ในรายได้ดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันจำนวน 2,368 ล้านบาท โดยรายได้ของบริษัท บางจากฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักคือ 1) รายได้จากการขายน้ำมัน 22,068 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 3,792 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายน้ำมันเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 36.7% (ราคาน้ำมันเฉลี่ย 15.15 บาท/ลิตร เทียบกับ 11.08 บาท/ลิตร) แต่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบลดลงรวม 11.6% 2) ในไตรมาส 2 ปี 2548 มีการบันทึกกำไรจากบริษัทย่อยตามวิธีส่วนได้เสียจำนวน 12 ล้านบาท 1.3 การวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยจำนวน 20,978 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากฯ จำนวน 20,783 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากกรีนเนทจำนวน 2,551 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันจำนวน 2,356 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักคือ 1) ต้นทุนขายจำนวน 20,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 3,060 ล้านบาท เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยน้ำมันดิบดูไบปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ยประมาณ 4 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล ในไตรมาส 2 ปี 2548 แต่ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบ ลดลงรวม 11.6% 2) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารจำนวน 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 72 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นคือ ค่าโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ค่าซ่อมบำรุงสถานีบริการ ค่าใช้จ่าย เกี่ยวกับบุคลากร ค่าใช้จ่ายตัดจ่าย และอื่นๆ 3) บริษัทฯ มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 157 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 23 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก การทะยอยแปลงสภาพของใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้แปลงสภาพรวมจำนวน 1,426 ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2547 เป็นต้นมา ประกอบกับ ได้มีการทะยอยชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระที่มี อัตราดอกเบี้ยสูงด้วยเงินกู้ใหม่จากธนาคารกรุงไทยซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า นอกจากนี้ ในไตรมาส 2 ปี 2548 บริษัทฯ ได้ลดการใช้วงเงินกู้ระยะสั้นลง เนื่องจากบริษัทฯ มีเงินได้มาจากกองทุนน้ำมันค้างรับ หลังจากที่รัฐประกาศลอยตัวน้ำมันดีเซล ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวเป็นผลทำให้มีกระแสเงินสดไหลกลับมายังบริษัทฯ ประกอบกับ มีการลดปริมาณการกลั่นขายลง ส่งผลให้ความจำเป็นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลง 2. คำอธิบายและการวิเคราะห์ฐานะการเงินสำหรับ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 เปรียบเทียบ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 2.1 สินทรัพย์ 1) สินทรัพย์รวม ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 จำนวน 33,014 ล้านบาท ประกอบด้วยสินทรัพย์ของบริษัท จำนวน 32,906 ล้านบาท และบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 445 ล้านบาท ในสินทรัพย์ดังกล่าวมีสินทรัพย์ ระหว่างกันซึ่งเป็นบัญชีลูกหนี้ (บริษัทบางจากกรีนเนท) จำนวน 297 ล้านบาท ซึ่งบริษัทให้เครดิตประมาณ 15 วัน 2) สินทรัพย์รวมของบริษัท บางจากฯ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 มีมูลค่าลดลง จำนวน 1,363 ล้านบาท ประกอบด้วยสินทรัพย์หลักที่ลดลงคือ * ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดจำนวน 1,454 ล้านบาทลดลง 441 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 เนื่องจากบริษัทฯ ได้จ่ายคืนเงินกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระบางส่วน ด้วยกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน * ลูกหนี้และตั๋วเงินรับการค้ามีมูลค่ารวม 3,188 ล้านบาท เฉลี่ยเท่ากับ 13 วันของการขาย ลดลงจาก ช่วงสิ้นปีก่อน 2 วันของการขาย เนื่องจากในไตรมาส 2 ปี 2548 บริษัทฯ ได้เลือกที่จะจำหน่ายในตลาดที่มีกำไรสูงและตลาดสถานีบริการของบริษัทฯ ก่อน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตลาดที่มี การให้ Credit Term ค่อนข้างสั้น * สินค้าคงเหลือรวมทั้งสิ้นเท่ากับ 10,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 63 ล้านบาท เนื่องจากราคาเฉลี่ยก็ได้ ปรับเพิ่มขึ้น 3.21 บาท/ ลิตร แต่ปริมาณสินค้าคงเหลือลดลง 196 ล้านลิตร ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ ได้ลดปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งตะวันออกกลางลง เพื่อลดความเสี่ยง จากการขาดทุนจากค่าการกลั่นที่มีโอกาสปรับลดลง และการขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันหากราคาน้ำมัน ปรับตัวลดลง โดยบริษัทฯ ได้นำสต๊อกน้ำมันที่มีต้นทุนต่ำออกมากลั่นขายในช่วงดังกล่าว * เงินชดเชยกองทุนน้ำมันค้างรับจำนวนเงิน 785 ล้านบาท ลดลงจากสิ้นปี 2547 จำนวน 558 ล้านบาท เป็นผลมาจากรัฐประกาศลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับเงินชดเชยค้างรับทั้งจำนวน ภายในไตรมาส 3 นี้ 2.2 หนี้สิน 1) หนี้สินรวม ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 จำนวน 21,552 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินของบริษัทจำนวน 21,444 ล้านบาท และของบริษัทบางจากกรีนเนท จำนวน 405 ล้านบาท ซึ่งในหนี้สินของบริษัทบางจาก กรีนเนท เป็นหนี้ระหว่างกันกับบริษัท จำนวน 297 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นมีจำนวนรวม 11,462 ล้านบาท รวมส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อยจำนวน 0.5 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทบางจากกรีนเนท จำนวน 40 ล้านบาท 2) หนี้สินรวมของบริษัท บางจากฯ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 มีมูลค่าลดลง 3,044 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินหลักที่เปลี่ยนแปลงคือ * เงินกู้รวม ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 ลดลง 2,066 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 เป็นผลมาจากการชำระคืนหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระในครึ่งปีแรกจำนวน 1,229 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการเบิกเงินกู้ระยะยาวจากธนาคารกรุงไทยจำนวน 700 ล้านบาท เพื่อนำมาชำระหนี้ ที่ครบกำหนดชำระดังกล่าวส่วนหนึ่ง ประกอบกับ มีผู้ถือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้ แปลงสภาพ (CDDR) ได้ขอใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญมูลค่ารวม 37 ล้านบาท นอกจากนี้ มีการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคารที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 1,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทฯ ได้ลดปริมาณการกลั่นขายลง ประกอบกับ เงินชดเชยกองทุนน้ำมันค้างรับ ลดลง ส่งผลให้ความจำเป็นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลง * เจ้าหนี้การค้า จำนวน 6,847 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 ลดลง 735 ล้านบาท เนื่องจากการลดปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันดิบลง เพื่อรักษาระดับค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับสูง และลดความเสี่ยงจากการขาดทุนจาก สต๊อกน้ำมันหากราคาน้ำมันปรับลดลง 2.3 ส่วนของผู้ถือหุ้น 1) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 รวมจำนวน 11,462 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท บางจากฯ จำนวน 11,462 ล้านบาท และเป็นส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย จำนวน 0.5 ล้านบาท 2) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท บางจากฯ ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 จำนวน 11,462 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,681 ล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 2547 เนื่องจากบริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิในครึ่งปีแรก 2548 จำนวน 1,755 ล้านบาท ประกอบกับ มีผู้ถือใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้แปลงสภาพ (CDDR) ได้ขอใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญมูลค่ารวม 37 ล้านบาท (บันทึกอยู่ในทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท และบันทึกอยู่ในส่วนเกินมูลค่าหุ้น 35 ล้านบาท) 3. คำอธิบายและการวิเคราะห์งบกระแสเงินสด สำหรับครึ่งปีแรกปี 2548 เปรียบเทียบช่วงเดียวกันปี 2547 3.1 ในไตรมาส 2 ปี 2548 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานจำนวน 2,216 ล้านบาท เป็นกระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัท บางจากฯ จำนวน 2,175 ล้านบาท และเป็นกระแสเงินสดของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 41 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีเงินสดต้นงวดยกมา 2,213 ล้านบาท เป็นเงินสดต้นงวดของบริษัท บางจากฯ จำนวน 1,894 ล้านบาท และเป็นเงินสดต้นงวดของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 319 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยได้ใช้เงินสดดังกล่าวในกิจกรรมต่างๆ ระหว่างไตรมาสจำนวน 2,839 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นการชำระคืนหนี้ที่ครบกำหนดชำระและการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน รวมจำนวน 2,029 ล้านบาท และเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรและสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นๆ จำนวน 515 ล้านบาท ดังนั้น คงเหลือเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 จำนวน 1,590 ล้านบาท โดยเป็นเงินสดของบริษัท บางจากฯ จำนวน 1,454 ล้านบาท และเป็นเงินสดของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 136 ล้านบาท 3.2 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 1,755 ล้านบาท บวกกลับค่าใช้จ่ายที่ไม่ใช้เงินสดจำนวน 420 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทฯ มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานจำนวน 2,175 ล้านบาท และ มีเงินสดต้นงวดจำนวน 1,894 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ใช้เงินสดดังกล่าวไปในกิจกรรมดังต่อไปนี้ 1) บริษัทฯ มีเงินสดสุทธิที่ใช้ไปในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงาน 73 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้ลดปริมาณการสั่งซื้อน้ำมันดิบลง และได้ดำเนินการชะลอการจำหน่ายในช่วงที่ค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้มูลค่าเจ้าหนี้การค้าและลูกหนี้การค้าลดลง 2) บริษัทฯ มีเงินสดที่ใช้ไปในกิจกรรมลงทุนอีก 515 ล้านบาท จากการที่มีการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ ถาวร-อุปกรณ์ และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียนอื่นๆ 3) บริษัทฯ มีเงินสดใช้ไปในกิจกรรมจัดหาเงิน 2,029 ล้านบาท จากการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นจากธนาคารที่ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนจำนวน 1,500 ล้านบาท ประกอบกับ มีหนี้เงินกู้ที่ครบกำหนดชำระในครึ่งปีแรกจำนวน 1,229 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้ดำเนินการเบิกเงินกู้ ระยะยาวจากธนาคารกรุงไทยจำนวน 700 ล้านบาท เพื่อนำมาชำระหนี้ที่ครบกำหนดชำระดังกล่าวส่วนหนึ่ง ดังนั้น ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2548 บริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 1,454 ล้านบาท ลดลง 441 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2547 4. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต สำหรับธุรกิจน้ำมัน ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานคือค่าการกลั่นและค่าการตลาด โดยในไตรมาส 2 ปี 2548 ราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ราคาน้ำมันเตาได้ปรับตัวสูงขึ้นแต่ ไม่มากเท่ากับราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปชนิดอื่นๆ ส่งผลให้ค่าการกลั่นของบริษัทฯ ถูกจำกัดไว้ใน ระดับหนึ่ง แต่จากการที่บริษัทฯ ได้ดำเนินการส่งน้ำมันเตาของบริษัทฯ ไปเพิ่มมูลค่าที่โรงกลั่นอื่นก็สามารถลดผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวได้บางส่วน ซึ่งบริษัทฯ มีความจำเป็นต้องจัดหาแนวทางการลดสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาในระยะยาว เพื่อเพิ่มค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับที่ทัดเทียมกับอุตสาหกรรม โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบ ของหน่วยปรับปรุงคุณภาพน้ำมันเตาเป็นน้ำมันใส ซึ่งจะลดสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาของบริษัทฯ ลงให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับโรงกลั่นอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกทั้งยังเพิ่ม คุณภาพน้ำมันให้สอดคล้องกับมาตรฐานคุณภาพน้ำมันใหม่ที่รัฐจะประกาศใช้ในปี 2554 แต่อย่างไรก็ตาม จากการที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้การปรับราคาขายปลีกทำได้ล่าช้ากว่า ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันเบนซินและดีเซลที่ปรับตัวขึ้นอย่างมากหลังจากรัฐประกาศลอย ตัวราคา ซึ่งนอกจากจะทำให้มีค่าการตลาดที่ต่ำแล้วยังส่งผลต่อยอดความต้องการใช้น้ำมันมีการชะลอตัวลงอีกด้วย นอกจากนี้ ระดับราคาน้ำมันก็ยังมีผลกระทบสำคัญต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยราคาน้ำมัน ได้ปรับตัวสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายปี 2546 เป็นต้นมา ซึ่งอาจมีความเป็นไปได้ว่า ราคาน้ำมันอาจปรับตัวลดลงในบางช่วงของปี 2548 เนื่องจากมีการปรับฐานของระดับราคาเป็นครั้งคราว แต่บริษัทฯ คาดว่าระดับราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปจะยังคงอยู่ในระดับที่สูง เนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันยังมีอัตราการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดังกล่าวอาจส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากมูลค่าสต๊อกน้ำมันที่ลดลง แต่บริษัทฯ ก็มีส่วนงานที่คอยติดตามและบริหารความเสี่ยงดังกล่าวอย่างใกล้ชิด จากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ก็อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เช่นกัน เนื่องจากราคาซื้อขายน้ำมัน จะอิงอยู่กับสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. รวมทั้ง บริษัทฯ มีสินทรัพย์ที่อ้างอิงกับสกุล เงินดอลลาร์ สรอ. คือ สต๊อกน้ำมัน มากกว่าหนี้สินในสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. คือ เจ้าหนี้การค้า ซึ่งหากอัตราแลกเปลี่ยนมีทิศทางที่แข็งค่าขึ้นก็จะส่งผลให้มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิลดลง แต่หากอัตราแลกเปลี่ยนมีทิศทางอ่อนค่าลงก็จะส่งผลให้มูลค่าของสินทรัพย์สุทธิเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ทั้งนี้บริษัทฯ ก็มีนโยบายที่จะปรับสัดส่วนสินทรัพย์และหนี้สินที่อยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. ให้อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกันเมื่อมีความพร้อม โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้ดำเนินการทำประกันความเสี่ยงดังกล่าวโดยใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่ในตลาดแล้วบางส่วน