ชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2548 (ก่อนสอบทาน)

ที่ 1000 / 141 / 2548 28 กรกฎาคม 2548 เรื่อง นำส่งงบการเงินก่อนสอบทาน และชี้แจงผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2548 เรียน กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สิ่งที่ส่งมาด้วย 1. งบการเงินก่อนสอบทานไตรมาส 2 ปี 2548 ฉบับภาษาไทย 1 ฉบับ 2. งบการเงินก่อนสอบทานไตรมาส 2 ปี 2548 ฉบับภาษาอังกฤษ 1 ฉบับ ตามที่บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ได้มีการจัดส่งงบการเงินก่อนสอบทานและก่อนตรวจสอบ ตามแนวทางการนำส่งงบการเงินก่อนสอบทานและก่อนตรวจสอบ โดยผู้สอบบัญชีของตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย นั้น บริษัทฯ ใคร่ขอนำส่งงบการเงินก่อนสอบทานโดยผู้สอบบัญชี สำหรับไตรมาส 2 ปี 2548 สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2548 และขอชี้แจงผลการดำเนินงานเพิ่มเติม เนื่องจากมีผลกำไรขาดทุนเปลี่ยนแปลงจาก งวดเดียวกันของปีก่อนเกินร้อยละ 20 ดังนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวม 22,096 ล้านบาท มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา (EBITDA) +1,647 ล้านบาท มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ (หักลบดอกเบี้ยรับ) 157 ล้านบาท มีค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย 194 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิ 1,317 ล้านบาท (เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2547 มีผลกำไรสุทธิ 647 ล้านบาท) ผลการดำเนินการดังกล่าวมีสาเหตุมาจากปัจจัยดังต่อไปนี้ 1. บริษัทฯ มีค่าการกลั่น (ไม่รวมกำไรจากสต๊อกน้ำมัน) 3.18 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล สูงกว่าช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 1.83 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูป ได้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามสภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคที่ฟื้นตัวและความต้องการใช้น้ำมัน เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ตาม ราคาน้ำมันเตาได้ปรับตัวขึ้น ในอัตราที่น้อยกว่าน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปชนิดอื่น ส่งผลให้ค่าการกลั่นของบริษัทฯ ถูกจำกัดไว้ในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ค่าการกลั่นของน้ำมันดิบจากแหล่งตะวันออกกลางซึ่งถูกจำกัดไว้ที่ระดับต่ำ เนื่องจากเป็น น้ำมันดิบที่ให้ผลผลิตเป็นน้ำมันเตาส่วนใหญ่ ดังนั้น บริษัทฯ จึงได้ดำเนินการลดการสั่งซื้อน้ำมันดิบ จากแหล่ง ตะวันออกกลางลง เพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดทุนจากค่าการกลั่นที่มีโอกาส ปรับลดลงและการขาดทุนจาก สต๊อกน้ำมันหากราคาน้ำมันปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ มีการลดการใช้กำลังการกลั่นลง เพื่อรักษาระดับ ค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับสูง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกำไรจากสต๊อกน้ำมันจำนวน 1,127 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 553 ล้านบาท จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ในไตรมาส 2 ปี 2548 บริษัทฯ มีค่าการกลั่นรวมอยู่ที่ระดับ 7.49 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล โดยการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 65 พันบาเรลต่อวัน ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 85 พันบาเรลต่อวัน เพื่อรักษาระดับค่าการกลั่น และ ลดความเสี่ยงจากการมีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันในกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งจากการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลให้ธุรกิจโรงกลั่นมีกำไรมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 2. บริษัทฯ มีค่าการตลาด (ไม่รวมน้ำมันเครื่องบิน) อยู่ที่ระดับ 13 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 44 สตางค์ต่อลิตร ทั้งนี้เป็นผลมาจากการปรับราคาขายปลีกได้ช้ากว่าต้นทุนที่มี การปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วตามราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ มีผลกำไรจากการขาย น้ำมันเครื่องบิน จำนวน 27 ล้านบาท หรือ 0.34 บาทต่อลิตร 3. ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 376 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน 72 ล้านบาท เนื่องจากค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้นคือ ค่าโฆษณาและประชาสัมพันธ์ ค่าซ่อมบำรุงสถานีบริการ ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ บุคลากร ค่าใช้จ่ายตัดจ่าย และอื่นๆ 4. บริษัทฯ มีดอกเบี้ยจ่ายสุทธิ 157 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน 23 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจาก การทยอยแปลงสภาพของใบแสดงสิทธิในผลประโยชน์ที่เกิดจากหุ้นกู้แปลงสภาพรวมจำนวน 1,426 ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2547 เป็นต้นมา ประกอบกับ ได้มีการทะยอยชำระคืนหุ้นกู้ที่ครบกำหนดชำระที่มี อัตราดอกเบี้ยสูงด้วยเงินกู้ใหม่จากธนาคารกรุงไทยซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า นอกจากนี้ในไตรมาส 2 ปี 2548 บริษัทฯ ได้ลดการใช้วงเงินกู้ระยะสั้นลง เนื่องจากบริษัทฯ มีเงินได้มาจากกองทุนน้ำมันค้างรับหลังจากที่รัฐ ประกาศลอยตัวน้ำมันดีเซล ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวเป็นผลทำให้มีกระแสเงินสดไหลกลับมายังบริษัทฯ ประกอบกับ มีการลดปริมาณการกลั่นขายลง ส่งผลให้ความจำเป็นในการใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลง จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ ขอแสดงความนับถือ -ลงนาม- (นายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล) กรรมการผู้จัดการใหญ่ สำนักแผนกิจการและนักลงทุนสัมพันธ์ โทร. 0 -2335-4583