) คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ไตรมาส 2/2551

- มีการจ่ายเงินสดสำหรับการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร-อุปกรณ์จำนวน 5,390 ล้านบาท ในจำนวนนี้ เป็นส่วนของโครงการ PQI ที่จ่ายเป็นเงินสดไปจำนวน 5,040 ล้านบาท - จ่ายเงินสดลงทุนในสินทรัพย์อื่น 817 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการจ่ายเพื่อค้ำประกันการทำธุรกรรม Hedging 3) บริษัทฯ ได้เงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน 2,202 ล้านบาท ได้แก่ - กู้เงินระยะสั้นจากธนาคารกรุงไทยจำนวน 620 ล้านบาท - เบิกเงินกู้ระยะยาวเพื่อใช้จ่ายสำหรับโครงการ PQI จำนวน 2,384 ล้านบาท - ชำระคืนเงินกู้ระยะยาวแก่กลุ่มธนาคารจำนวน 466 ล้านบาท - จ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการปี 2550 ให้ผู้ถือหุ้นไปจำนวน 336 ล้านบาท (จำนวน 1,119 ล้านหุ้น ปันผลหุ้นละ 0.30 บาท) ดังนั้น ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2551 บริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดคงเหลือจำนวน 1,923 ล้านบาท ซึ่ง เป็นเงินสดที่เป็นเงินทุนโครงการ PQI จำนวน 256 ล้านบาท และเงินสดเพื่อใช้สำหรับดำเนินงานจำนวน 1,667 ล้านบาท 4. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต โครงการปรับปรุงราคาน้ำมัน (PQI) ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯซึ่งดำเนินธุรกิจน้ำมัน คือค่าการตลาดและค่าการกลั่น ใน ส่วนของค่าการตลาดจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลต่อการปรับราคาขายปลีกเนื่องจากการ ขึ้นลงของราคาขายปลีกดังกล่าวทำได้ล่าช้ากว่าต้นทุนจริงที่เกิดขึ้น เมื่อพิจารณาในส่วนของค่าการกลั่น จากการที่โรง กลั่นของบริษัทฯ เป็นโรงกลั่นประเภท Simple Refinery ซึ่งมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์น้ำมันเตามากเมื่อเปรียบเทียบกับโรงกลั่น ประเภท Complex Refinery โดยน้ำมันเตามีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบ ทำให้ค่าการกลั่นของบริษัทฯ ถูกจำกัดไว้ ซึ่ง บริษัทฯ มีความจำเป็นต้องจัดหาแนวทางการลดสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาในระยะยาว เพื่อเพิ่มค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับ ที่ทัดเทียมกับอุตสาหกรรม ดังนั้นบริษัทฯ จึงดำเนินโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) โดยการก่อสร้างหน่วยแตก ตัวโมเลกุลน้ำมัน (Cracking Unit) และหน่วยอื่นๆ ซึ่งจะทำให้โรงกลั่นของบริษัทฯเปลี่ยนเป็นโรงกลั่นประเภท Complex Refinery ซึ่งสามารถลดสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับโรงกลั่นอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ บริษัทฯคาดว่าโครงการฯดังกล่าวจะสามารถเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ ได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2551 และคาดว่าจะทำให้ บริษัทฯสามารถเพิ่ม EBITDA จากระดับเฉลี่ย 2,000-4,000 ล้านบาท เป็นประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท หลังจากที่ โครงการฯดำเนินการแล้วเสร็จสมบูรณ์ และดำเนินการผลิตอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะราคาน้ำมัน ณ ขณะนั้นๆ โครงการ PQI มีมูลค่าการลงทุนรวมเงินลงทุนสำรองกรณีมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการ (Contingency Reserve) ทั้งสิ้น 15,369 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 378 ล้านเหรียญสหรัฐ สัญญาก่อสร้างโครงการ PQI นี้เป็นลักษณะราคา ก่อสร้างคงที่ มีกำหนดเวลาก่อสร้างที่แน่นอน และรับประกันผลงาน โดยบริษัทได้จัดจ้าง บริษัท CTCI Overseas Corporation Limited และ CTCI (Thailand Co., Ltd.) เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ในส่วนของการจัดหาเงินทุนสำหรับ โครงการดังกล่าวได้ดำเนินการแล้วเสร็จครบถ้วนตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม 2549 ขณะนี้การก่อสร้างโครงการมีความ คืบหน้าเป็นอย่างมาก สิ้นสุดเดือนมิถุนายน 2551 คิดเป็นร้อยละ 92.7 โดยบริษัทฯ ได้ร่วมทำงานกับผู้รับเหมาและดูแล การก่อสร้างอย่างใกล้ชิด บริษัทฯคาดว่าโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จได้ในปลายปี 2551 อัตราแลกเปลี่ยน ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่อาจมีผลต่อผลการดำเนินงานและฐานะการเงินในอนาคตของบริษัทฯคือ ความผันผวน ของอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากในการซื้อและขายน้ำมันนั้นบริษัทฯ จะบันทึกรายการเจ้าหนี้การค้าและรายการลูกหนี้ การค้าโดยมีการอ้างอิงราคาอยู่กับสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนจะส่งผลต่อมูลค่าของ สินทรัพย์สุทธิ แต่ทั้งนี้บริษัทฯก็มีนโยบายที่จะปรับสัดส่วนสินทรัพย์และหนี้สินที่อยู่ในรูปสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ให้อยู่ใน ระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยปัจจุบันบริษัทฯได้ดำเนินการทำประกันความเสี่ยงดังกล่าวโดยใช้เครื่องมือทางการเงินที่มีอยู่ ในตลาดแล้วบางส่วน อีกทั้งภายหลังจากการที่บริษัทฯได้ปรับเปลี่ยนโครงสร้างเงินกู้ใหม่ จะช่วยเพิ่มความสามารถใน การบริหารความเสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โครงสร้างเงินกู้ เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2551 บริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างเงินกู้โดยการจัดหาเงินกู้ยืมใหม่ทดแทนเงินกู้เดิม (Refinance) โดยทำสัญญาเงินกู้กับธนาคารภายในประเทศ 4 แห่ง และธนาคารต่างประเทศ 2 แห่ง วงเงินรวม 23,734 ล้านบาท ประกอบด้วย - วงเงินกู้ระยะยาว 16,500 ล้านบาท เพื่อจ่ายชำระคืนเงินกู้ภายใต้สัญญาให้สินเชื่อกับธนาคารกรุงไทยและ สัญญาให้สินเชื่อโครงการ PQI รวมทั้งเพื่อชำระค่าก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งของโครงการ EURO IV และ โครงการด้านพลังงานอื่นๆ - วงเงินกู้ระยะสั้น 7,234 ล้านบาท เพื่อใช้ในการดำเนินงานทั่วไป ในการให้ได้มาซึ่งเงินกู้ใหม่ครั้งนี้ บริษัทฯจะต้องชำระค่าธรรมเนียมจากการคืนเงินกู้ก่อนกำหนดรวม ค่าธรรมเนียมการยกเลิกการใช้สินเชื่อของเงินกู้เดิม จำนวน 174 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการจัดหาเงินกู้ใหม่จำนวน 128 ล้านบาท โดยได้รับประโยชน์ ดังนี้ 1. ขยายระยะเวลาการคืนเงินกู้จากเดิม 7 ปีเป็น 9 ปี และมีสัดส่วนการชำระคืนเงินต้นต่ำในช่วง 5 ปีแรก เพื่อ เพิ่มสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจและเพิ่มโอกาสในการลงทุนในอนาคต 2. ผลประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่จะประหยัดได้จากเงินกู้ใหม่กับเงินกู้เดิม โดยการเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย อ้างอิงจาก MLR เป็น THBFIX อย่างไรก็ตามอาจมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยลอยตัวที่อ้างอิง THBFIX จะ สูงกว่า MLR ได้ 3. เพิ่มความสามารถในการบริหารความเสี่ยงทางการเงินให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ได้แก่ การเปลี่ยนอัตรา ดอกเบี้ยลอยตัวเป็นอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Interest Rate Swap) และสามารถปรับเปลี่ยนเงินกู้สกุลบาทให้เป็น เงินกู้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ (Cross Currency Swap) ได้ ซึ่งบริษัทฯจะพิจารณาการบริหารความเสี่ยงด้าน อัตราดอกเบี้ยรวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนในระดับที่เหมาะสมต่อไป 4. ผลประโยชน์จากการปรับรูปแบบเงินกู้เป็นแบบไม่มีหลักประกัน และเงื่อนไขต่างๆ ให้เหมาะสม เพื่อรองรับ การจัดหาเงินทุน หรือเงินกู้เพิ่มเติม สำหรับการลงทุนโครงการใหม่ในอนาคต การให้ส่วนลดราคาน้ำมันดีเซล ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯครั้งที่ 6/2551 วันที่ 29 พฤษภาคม 2551 ได้เห็นชอบการให้ส่วนลดราคาน้ำมัน ดีเซล ที่จำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการรถโดยสารขนส่งสาธารณะ ผู้ประกอบการประมง และกลุ่มเกษตรกร เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากปัญหาราคาน้ำมันแพง และเพื่อให้เกิดการบริโภคภายในประเทศได้ อย่างต่อเนื่อง ไม่มีเหตุหยุดชะงักอันอาจทำให้มีผลกระทบต่อการผลิตของบริษัทฯในระยะยาว ในอัตราไม่เกิน 3 บาทต่อ ลิตร ในช่วงเวลาไม่เกิน 6 เดือน(มิถุนายน-พฤศจิกายน 2551) รวมเป็นจำนวนเงินไม่เกิน 261 ล้านบาท ทั้งนี้หากในช่วง ระยะเวลา 6 เดือนนี้ บริษัทฯประสบปัญหาขาดทุนหรือปัญหาในการดำเนินธุรกิจ หรือทำให้บริษัทฯผิดเงื่อนไขต่อเจ้าหนี้ เงินกู้ยืม หรือหุ้นกู้ หรือตราสารหนี้ บริษัทฯ สามารถหยุดการให้ความช่วยเหลือได้ทันที