MD&A ผลการดำเนินงานสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550

คำอธิบายและการวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการ ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 3 เดือน และงวด 9 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550 ภาพรวมธุรกิจปี 2550 ด้านราคาน้ำมัน สำหรับไตรมาส 3 ปี 2550 สถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงมีการปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส ที่แล้ว โดยมีความกังวลถึงภาวะอุปทานตึงตัวในช่วงไตรมาส 4 ซึ่งสาเหตุที่สำคัญมาจากการก่อการร้ายและเข้าโจมตี แหล่งผลิตน้ำมันดิบหลายแห่งทั้งในประเทศไนจีเรียและเม็กซิโก กรณีความขัดแย้งที่ยังคงมีอยู่ระหว่างอิหร่านกับชาติ ตะวันตกในประเด็นการพัฒนาสมรรถนะแร่ยูเรเนี่ยม รวมถึงการประกาศปริมาณน้ำมันสำรองของสหรัฐอเมริกาที่ลดลง ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ แม้ว่าจากการประชุมกลุ่ม OPEC เมื่อวันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมาจะมีมติเพิ่ม ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบขึ้นอีก 500 KBD แล้วก็ตามแต่ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงปรับตัวสูงขึ้น (อ้างอิงราคา น้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยไตรมาส 3 ปี 2550 ที่ 70.03 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล สูงขึ้น 8.0% เมื่อเทียบกับราคาเฉลี่ยไตรมาส 2 ปี 2550 ที่อยู่ที่ 64.82 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล) ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจนทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ อีกทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ ธนาคารกลางสหรัฐ(FED) ส่งผลให้ Hedge Funds เพิ่มการลงทุนในตลาด Commodities มากขึ้น อย่างไรก็ตามหาก ระดับราคาน้ำมันในตลาดโลกยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้ผู้บริโภคลดปริมาณการใช้น้ำมันและเปลี่ยนไปใช้ พลังงานทดแทน ซึ่งเป็นปัจจัยให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงได้ ด้านการผลิต บริษัทฯ มีปริมาณการกลั่น 71.3 พันบาเรลต่อวัน ในไตรมาส 3 เทียบกับในช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่อยู่ที่ 60.4 พันบาเรลต่อวัน ทั้งนี้เป็นผลจากการที่บริษัทฯ ได้บรรลุสัญญาขายเทอมน้ำมันเตาชนิด FOVS (Fuel Oil Very Low Sulfur) ในการส่งออกไปยังโรงกลั่นในประเทศจีนเพื่อนำไปกลั่นต่อให้เป็นน้ำมันดีเซลและเบนซิน ทั้งนี้บริษัทฯได้ จำหน่ายน้ำมันดังกล่าวในระดับเฉลี่ย 100 -120 ล้านลิตรต่อเดือน ซึ่งสัญญาดังกล่าวมีผลถึงสิ้นปี 2550 ขณะนี้บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงในการต่อสัญญาไปจนถึงสิ้นปี 2551 แล้ว อีกทั้งในช่วงนี้ราคาน้ำมันเตาปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากปัญหาโรงไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น จึงทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันเตาเพิ่มสูงขึ้นและคาดว่าปัญหาที่ เกิดขึ้นต่อโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งในการแก้ไข 1. คำอธิบายและวิเคราะห์ผลการดำเนินงาน งวด 9 เดือนปี 2550 งวด 9 เดือนปี 2549 งบรวม งบบริษัท งบรวม งบบริษัท รายได้รวม, ล้านบาท 67,635 67,010 75,767 75,133 กำไร / (ขาดทุน) สุทธิ, ล้านบาท 1,346 1,289 878 916 อัตรากำไรขั้นต้น, ร้อยละ 5.23 4.76 3.61 3.33 อัตรากำไรสุทธิ, ร้อยละ 2.01 1.94 1.17 1.24 กำไรสุทธิต่อหุ้น, บาท/หุ้น 1.20 1.15 0.97 1.01 ไตรมาส 3 ปี 2550 ไตรมาส 3 ปี 2549 งบรวม งบบริษัท งบรวม งบบริษัท รายได้รวม, ล้านบาท 23,117 22,924 23,956 23,741 กำไร / (ขาดทุน) สุทธิ, ล้านบาท 508 498 (30) (2) อัตรากำไรขั้นต้น, ร้อยละ 6.20 5.77 3.71 3.53 อัตรากำไรสุทธิ, ร้อยละ 2.21 2.18 (0.13) (0.01) กำไรสุทธิต่อหุ้น, บาท/หุ้น 0.45 0.44 (0.03) (0.00) 1.1 การวิเคราะห์กำไรขาดทุน 1) ผลการดำเนินงานสำหรับงวด 9 เดือน ปี 2550 งบการเงินรวมมีผลกำไรสุทธิ 1,346 ล้านบาท ซึ่งงบ เฉพาะบริษัทฯมีกำไรสุทธิจำนวน 1,289 ล้านบาท และบริษัทย่อย ได้แก่บริษัท บางจากกรีนเนท มีผล กำไรสุทธิ 56 ล้านบาท และมีรายการระหว่างกัน +1 ล้านบาท 2) ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2550 งบการเงินรวมมีผลกำไรสุทธิ 508 ล้านบาท ซึ่งงบเฉพาะบริษัทฯมี กำไรสุทธิจำนวน 498 ล้านบาท และบริษัทย่อยมีผลกำไรสุทธิ 11 ล้านบาท มีรายการระหว่างกัน -1 ล้าน บาท โดยไตรมาสนี้บริษัทฯ มี EBITDA 960 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 243 ล้าน บาท อยู่ 717 ล้านบาท หรือคิดเป็น 295% สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 3 แยกตามประเภทธุรกิจ เป็นดังนี้ EBITDA จำแนกตามประเภทธุรกิจ ไตรมาส 3 ปี 50 ไตรมาส 3 ปี 49 เพิ่ม + / ลด - (หน่วย : ล้านบาท) (A) (B) (A) - (B) (สอบทานแล้ว) EBITDA 960 243 +717 - โรงกลั่น 815 (89) +904 - ตลาด 145 332 -187 (หัก) กำไรจากสต๊อกน้ำมัน (279) -279 บวก ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 582 -582 Adjusted EBITDA 681 825 -144 - โรงกลั่น 536 493 +43 - ตลาด 145 332 -187 - EBITDA จากธุรกิจโรงกลั่น 815 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ -89 ล้านบาท โดยไตรมาสนี้บริษัทฯ มีค่าการกลั่นรวม 4.67 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล (รวมผลกำไรจากสต๊อก น้ำมันเนื่องจากราคาน้ำมันดิบมีการปรับตัวสูงขึ้น) มีการใช้กำลังการผลิตที่ 71.3 พันบาเรลต่อวัน สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีค่าการกลั่นรวม 2.23 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล และใช้กำลังการ ผลิตที่ระดับ 60.4 พันบาเรลต่อวัน รายละเอียดการวิเคราะห์ดังนี้ หน่วย : ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล ไตรมาส 3 ไตรมาส 3 ผลแตกต่าง ค่าการกลั่นจาก ปี 2550 ปี 2549 +/- ค่าการกลั่นพื้นฐาน 3.63 3.09 +0.54 Improvement Program - 3.48 0.36 3.23 -0.36 0.25 Oil Hedging (0.15) (0.22) +0.07 สต๊อกน้ำมัน 1.19 (1.00) +2.19 รวม 4.67 2.23 +2.44 ค่าการกลั่น (ไม่รวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน) 3.48 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล สูงกว่าช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 3.23 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล จากค่าการกลั่นพื้นฐานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.54 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล เนื่องจากส่วนต่างราคาน้ำมันเตาเมื่อเทียบกับน้ำมันดิบดูไบมีการ ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญถึง 6.03 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล เมื่อเทียบจากไตรมาส 3 ปี 2549 จากความต้องการน้ำมันเตาที่เพิ่มสูงขึ้นหลังโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ญี่ปุ่นมีปัญหาต้องปิดซ่อมแซมเป็น เวลาหลายเดือนเนื่องจากได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ในไตรมาสนี้บริษัทฯไม่มี Improvement Program จากการส่งน้ำมันเตาไป Crack ที่โรงกลั่นไทยออยล์ แต่ได้ทำการส่งออก น้ำมันเตาชนิด FOVS ไปยังโรงกลั่นในประเทศจีนแทน ทำให้บริษัทฯสามารถใช้กำลังการผลิตได้ดี ขึ้นอยู่ในระดับ 71.3 พันบาเรลต่อวัน เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ใช้กำลังการผลิตอยู่ 60.4 พันบาเรลต่อวัน ในส่วนค่าการกลั่นจากการทำ Hedging นั้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.07 ดอลลาร์ สรอ.ต่อ บาเรล จากขาดทุน 0.22 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล ในปีก่อนลดลงเป็นขาดทุน 0.15 ดอลลาร์ สรอ.ต่อ บาเรล ในปีนี้เนื่องจากการปรับตัวของค่าการกลั่นเป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับที่บริษัทได้เข้าทำ สัญญาธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงล่วงหน้าไว้ สำหรับไตรมาสนี้มีปริมาณธุรกรรมที่บริษัทฯได้ทำไว้ ล่วงหน้าประมาณ 52% ของปริมาณการกลั่นเฉลี่ยไตรมาส ในขณะที่ปีก่อนมีระดับการทำธุรกรรม ประมาณ 33% ของปริมาณการกลั่นเฉลี่ยไตรมาส ไตรมาสนี้มีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 1.19 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล สูงกว่าไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ ขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 1.00 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาเรล เนื่องจากไตรมาส 3 ปีนี้ราคาน้ำมันได้ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสาเหตุดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น - EBITDA จากธุรกิจการตลาด 145 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่อยู่ที่ 332 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาสนี้ราคาน้ำมันในตลาดโลกได้ปรับตัวในทิศทางขาขึ้นทำให้ราคาขายปลีกปรับตัวได้ ช้ากว่าต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับเมื่อปีก่อนที่ราคาน้ำมันมีการปรับตัวลดลง จึงทำให้ไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีค่าการตลาด(ไม่รวมน้ำมันเครื่อง) อยู่ที่ระดับ 36.7 สตางค์ต่อลิตร ต่ำกว่าช่วงเดียวกัน ของปีก่อนที่อยู่ที่ระดับ 68.4 สตางค์ต่อลิตร ส่วนปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากระดับ 47.3 พัน บาเรลต่อวัน เป็น 49.7 พันบาเรลต่อวัน เนื่องจากบริษัทฯผลักดันการจำหน่ายน้ำมันพลังงาน ทดแทนมากขึ้น ได้แก่ น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91, 95 และน้ำมันไบโอดีเซล B5 1.2 การวิเคราะห์รายได้ 1) สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2550 รายได้รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยจำนวน 67,635 ล้านบาท เป็นรายได้ ของบริษัท บางจากฯ จำนวน 67,010 ล้านบาท และรายได้ของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 9,924 ล้านบาท ในรายได้ดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันจำนวน 9,299 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายการขาย น้ำมันสำเร็จรูปจากบริษัทฯ ให้กับบริษัท บางจากกรีนเนท 2) สำหรับไตรมาส 3 ปี 2550 รายได้รวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีจำนวน 23,117 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ของบริษัท บางจากฯ จำนวน 22,924 ล้านบาท และรายได้ของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 3,579 ล้านบาท ในรายได้ดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันจำนวน 3,386 ล้านบาท โดยรายได้ของบริษัท บางจากฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ - รายได้จากการขาย 22,815 ล้านบาท ลดลง 839 ล้านบาท หรือ 4% เนื่องจาก อัตราแลกเปลี่ยนที่ แข็งค่าขึ้นประมาณ 10% (อ้างถึงอัตราขายถัวเฉลี่ยไตรมาส 3 ปี 2550 ที่ 34.17 บาท/ดอลลาร์ สรอ. เทียบกับเฉลี่ยไตรมาส 3 ปี 2550 ที่ระดับ 37.79 บาท/ดอลลาร์ สรอ.) ซึ่งส่งผลต่อต้นทุนขายที่ ลดลงด้วยเช่นกัน แม้ว่าราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม - รายได้จากดอกเบี้ยรับจำนวน 40 ล้านบาท ลดลง 28 ล้านบาท หรือ 41% เนื่องจากบริษัทฯได้ ทยอยใช้จ่ายเงินทุนตามโครงการ PQI โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 บริษัทฯมีเงินฝาก ประเภทประจำคงเหลืออยู่จำนวน 3,159 ล้านบาท (เป็นส่วนของเงินทุน PQI 2,930 ล้านบาท) ในขณะที่ปีก่อนมีเงินฝากประจำคงเหลืออยู่ ณ สิ้นไตรมาส 3 จำนวน 4,726 ล้านบาท (เป็นส่วน ของเงินทุน PQI 4,500 ล้านบาท) - รายได้อื่นๆจำนวน 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 51 ล้านบาท หรือ 295% ส่วนใหญ่มาจาก การคืนภาษีเงินได้นิติบุคคลปีบัญชี 2530 จากกรมสรรพากรจำนวน 20 ล้านบาท และค่าพรีเมียมจาก สัญญาขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า 11 ล้านบาท 1.3 การวิเคราะห์ค่าใช้จ่าย 1) สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2550 ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยจำนวน 66,289 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากฯ จำนวน 65,721 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 9,868 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันจำนวน 9,300 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นต้นทุนขายน้ำมันสำเร็จรูปของบริษัทฯ แก่บริษัท บางจากกรีนเนท 2) สำหรับไตรมาส 3 ปี 2550 ค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยจำนวน 22,609 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากฯ จำนวน 22,426 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายของบริษัท บาง จากกรีนเนท จำนวน 3,568 ล้านบาท โดยค่าใช้จ่ายดังกล่าวเป็นรายการระหว่างกันจำนวน 3,385 ล้าน บาท โดยค่าใช้จ่ายของบริษัท บางจากฯ ที่มีการเปลี่ยนแปลงหลักเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ - ในไตรมาสนี้ไม่มีการ Write Down สินค้าคงเหลือ เนื่องจากราคาน้ำมันมีการปรับตัวสูงขึ้น ในขณะ ที่ปีก่อนในช่วงปลายไตรมาส 3 ราคาน้ำมันเริ่มมีการปรับตัวลดลงมาก ทำให้ต้องตั้งสำรองมูลค่า สินค้าคงเหลือลดลงไว้จำนวน 350 ล้านบาท เนื่องจาก ณ วันสิ้นงวดไตรมาส 3 ปี 2549 สินค้า คงเหลือมีมูลค่าสูงกว่าราคาสุทธิที่บริษัทฯคาดว่าจะได้รับ - บริษัทฯ รับรู้ผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 78 ล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่อยู่ที่ 4 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาสนี้บริษัทฯได้ขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในอัตราต่ำกว่าอัตราแลกเปลี่ยน เฉลี่ยที่เกิดขึ้นจริง - บริษัทฯ รับรู้ดอกเบี้ยจ่าย 161 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 48 ล้านบาท หรือ 23% เนื่องจากการลดลงของอัตราดอกเบี้ยประมาณ 0.5% ต่อปี โดยบริษัทฯ มีต้นทุนเงินกู้ยืมเฉลี่ย ไตรมาส 3 ปี 2550 อยู่ที่ 5.5% รวมถึงเป็นผลจากยอดเงินต้นเฉลี่ยที่ลดลงจำนวน 2,305 ล้านบาท 1.4 การวิเคราะห์อัตรากำไร อัตรากำไรขั้นต้นมีการปรับตัวตามความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลก และผันแปรตามค่าการ กลั่นและค่าการตลาด โดยงวด 9 เดือน และไตรมาส 3 ปี 2550 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้น 4.8% และ 5.8% ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2549 ที่อยู่ที่ 3.3% และ 3.5% ตามลำดับ สาเหตุหลักมาจากค่าการ กลั่นรวมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วตาม 1.1 ข้อ 2) ทำให้อัตรากำไรสุทธิงวด 9 เดือน ปี 2550 และ 2549 เป็น 1.9% และ 1.2% ส่วนอัตรากำไรสุทธิในไตรมาส 3 ปี 2550 และ 2549 เป็น 2.2% และ 0% ตามลำดับ 2. คำอธิบายและการวิเคราะห์ฐานะการเงิน ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 เปรียบเทียบกับ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 2.1 สินทรัพย์ 1) สินทรัพย์รวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2550 มีจำนวน 41,589 ล้านบาท ประกอบด้วยสินทรัพย์ของบริษัทฯ จำนวน 41,498 ล้านบาท และบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 523 ล้านบาท ในสินทรัพย์ดังกล่าวมี สินทรัพย์ระหว่างกัน 432 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นบัญชีลูกหนี้จำนวน 429 ล้านบาท 2) สินทรัพย์รวมของบริษัท บางจากฯ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2550 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2549 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น จำนวน 3,555 ล้านบาท ประกอบด้วยสินทรัพย์หลักที่เปลี่ยนแปลงคือ - ณ 30 กันยายน 2550 บริษัทฯมีลูกหนี้การค้า-สุทธิ 4,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,009 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 32% เนื่องจากปัจจัยราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงบริษัทมีการจำหน่ายน้ำมันส่งออกมาก ขึ้นซึ่งเป็นลูกหนี้กลุ่มที่มีเทอมชำระเงินเฉลี่ยนาน 30 วัน - สินค้าคงเหลือ 11,873 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,233 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 37% เนื่องจากปริมาณสินค้า เพิ่มขึ้นตามปริมาณการกลั่นที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงราคาน้ำมันที่มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นด้วย 2.2 หนี้สิน 1) หนี้สินรวม ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2550 จำนวน 21,948 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินของบริษัทฯ จำนวน 21,871 ล้านบาท และของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 506 ล้านบาท ในหนี้สินดังกล่าวเป็นหนี้ระหว่าง กัน จำนวน 429 ล้านบาท 2) หนี้สินของบริษัท บางจากฯ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2550 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2549 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2,620 ล้านบาท ประกอบด้วยหนี้สินหลักที่เปลี่ยนแปลงคือ - ณ 30 กันยายน 2550 เจ้าหนี้การค้ามีจำนวน 8,027 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,881 ล้านบาท หรือ 94% เนื่องจากช่วงสิ้นปี 2549 มีการจ่ายชำระหนี้ค่าน้ำมันดิบล่วงหน้า 2 เที่ยวเรือ ปริมาณ 0.73 ล้าน บาเรล เป็นจำนวนเงิน 1,725 ล้านบาท อีกทั้งไตรมาสนี้ราคาน้ำมันได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นด้วยทำให้ ราคาซื้อเฉลี่ยเพิ่มขึ้นประมาณ 10.9% (ซื้อเดือนก.ย. 2550 เทียบกับเดือนธ.ค. 2549) 2.3 ส่วนของผู้ถือหุ้น 1) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2550 รวมจำนวน 19,641 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นบริษัทฯ 19,627 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทบางจากกรีนเนท จำนวน 17 ล้านบาท และเป็นรายการระหว่างกัน -3 ล้านบาท 2) ส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัท บางจากฯ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2550 เพิ่มขึ้น 935 ล้านบาท จาก ณ สิ้นปี 2549 เนื่องจากบริษัทฯ มีกำไรสุทธิสำหรับ 9 เดือนปี 2550 จำนวน 1,289 ล้านบาท แต่มีการจ่ายเงิน ปันผลประจำปีจำนวน 190 ล้านบาท และได้มีการตัดจำหน่ายส่วนเกินทุนจากการตีราคาสินทรัพย์เป็น จำนวน 164 ล้านบาท ส่งผลให้ส่วนของผู้ถือหุ้น ณ 30 กันยายน 2550 มีจำนวน 19,627 ล้านบาท 3) บริษัทฯ มีตราสารอื่นที่ผู้ถือตราสารสามารถใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ในข้อกำหนดสิทธิ เช่น หุ้นกู้แปลงสภาพ และใบสำคัญแสดงสิทธิต่างๆ ณ วันที่ 30 กันยายน 2550 มี จำนวนหุ้นที่สามารถแปลงสภาพได้รวม 287 ล้านหุ้น เมื่อคิด Fully Dilution แล้วจะมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 20.4 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด 3. คำอธิบายและการวิเคราะห์งบกระแสเงินสด สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2550 3.1 สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2550 นี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดต้นงวดยกมา 2,705 ล้านบาท โดยในระหว่างงวดมีเงินสดสุทธิเพิ่มขึ้นจากกิจกรรมต่างๆจำนวน 2,317 ล้านบาท ประกอบด้วยเงินสดที่ได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน 1,817 ล้านบาท เงินสดที่ได้มาจากกิจกรรมลงทุนจำนวน 2,227 ล้านบาท และใช้เงินสดไปในกิจกรรมจัดหาเงิน 1,727 ล้านบาท ดังนั้น ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2550 จึงมี เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด จำนวน 5,022 ล้านบาท โดยเป็นเงินสดของบริษัท บางจากฯ จำนวน 4,858 ล้านบาท และเป็นเงินสดของบริษัท บางจากกรีนเนท จำนวน 164 ล้านบาท 3.2 กระแสเงินสดเฉพาะบริษัทฯ เกิดจากกำไรสุทธิงวด 9 เดือน จำนวน 1,289 ล้านบาท บวกกลับค่าใช้จ่ายที่ไม่ ใช้เงินสดจำนวน 792 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทฯ มีกำไรที่เป็นเงินสดจำนวน 2,081 ล้านบาท มีเงินสดต้นงวด จำนวน 2,599 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้และใช้เงินสดในกิจกรรมดังต่อไปนี้ 1) บริษัทฯ ใช้เงินสดไปในสินทรัพย์และหนี้สินดำเนินงานจำนวน 324 ล้านบาท โดยที่ - ใช้เงินสดไปเพื่อสินทรัพย์ดำเนินงานเพิ่มขึ้น 4,179 ล้านบาท ได้แก่ ลูกหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้น 961 ล้าน บาท สินค้าคงเหลือเพิ่มขึ้น 3,233 ล้านบาท และสินทรัพย์หมุนเวียนอื่นลดลงจำนวน 15 ล้านบาท - มีเงินสดได้มาจากหนี้สินดำเนินงาน 3,855 ล้านบาท ได้แก่ เจ้าหนี้การค้าที่เพิ่มขึ้นจำนวน 3,889 ล้านบาท แต่ได้จ่ายชำระหนี้สินและค่าใช้จ่ายค้างจ่ายอื่นจำนวน 34 ล้านบาท 2) บริษัทฯ ได้เงินสดมาจากกิจกรรมลงทุน 2,229 ล้านบาท ได้แก่ - จากรายการเงินลงทุนชั่วคราวจำนวน 3,816 ซึ่งเป็นการโอนเปลี่ยนประเภทจากเงินฝากประจำไม่เกิน 3 เดือน มาเป็นเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด - การจ่ายเงินสดสำหรับการลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร-อุปกรณ์จำนวน 1,684 ล้านบาท ในจำนวนนี้ เป็นส่วนของโครงการ PQI ที่จ่ายเป็นเงินสดไปในปีจำนวน 1,502 ล้านบาท - บริษัทฯได้เงินสดจากกิจกรรมการลงทุนอื่นๆอีก 97 ล้านบาท 3) บริษัทฯ ใช้เงินสดไปในกิจกรรมจัดหาเงิน 1,727 ล้านบาท - ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะสั้น(ธนาคารกรุงไทย)จำนวน 1,200 ล้านบาท - ชำระคืนเงินกู้ระยะยาว(ธนาคารกรุงไทย)จำนวน 337 ล้านบาท - จ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น 190 ล้านบาท (จำนวน 1,119 ล้านหุ้น อัตราหุ้นละ 17 สตางค์) ดังนั้น บริษัทฯ มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เพิ่มขึ้น 2,259 ล้านบาท เมื่อรวมเงินสดต้นงวดจำนวน 2,599 ล้านบาท ทำให้ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2550 มีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด เป็นจำนวน 4,858 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินสดเพื่อใช้สำหรับดำเนินงานจำนวน 1,534 ล้านบาท และเงินสดที่เป็นเงินทุนโครงการ PQI จำนวน 3,324 ล้านบาท 4. สรุปผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบัญชี บริษัทฯ มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการบันทึกบัญชีของเงินลงทุนในบริษัทย่อยในงบการเงินเฉพาะบริษัทจากวิธี ส่วนได้เสีย (Equity Method) เป็นวิธีราคาทุน (Cost Method) ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2550 เป็นต้นไป เพื่อให้เป็นไป ตามข้อกำหนดใหม่ของมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 44 ประกาศโดยสภาวิชาชีพบัญชีฉบับที่ 26/2549 ทั้งนี้เงินลงทุนใน บริษัทย่อยที่แสดงอยู่ในงบเฉพาะบริษัทนั้นบันทึกโดยใช้ราคาทุนเดิม (Historical Cost) เป็นราคาทุนเริ่มต้น ซึ่งการ เปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวทำให้กำไร (ขาดทุน) สุทธิ ในงบการเงินเฉพาะบริษัทจะไม่เท่ากับงบการเงินรวมอีก ต่อไป และบริษัทฯ ได้ปรับปรุงย้อนหลังงบการเงินปี 2549 ที่แสดงเปรียบเทียบด้วย ส่งผลให้กำไรสะสม ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2549 เพิ่มขึ้นจำนวน 0.49 เท่ากับมูลค่าหุ้นที่บริษัทฯลงทุนในบริษัท บางจากกรีนเนท เพื่อให้สะท้อนมูลค่าเงิน ลงทุนตามวิธีราคาทุนเดิมตามที่มาตรฐานได้กำหนดไว้ ผลสะสมของการเปลี่ยนแปลงหลักการบัญชีนี้ได้แสดงไว้ใน "ผล สะสมจากการเปลี่ยนวิธีการบันทึกเงินลงทุนในบริษัทย่อย" ในงบแสดงการเปลี่ยนแปลงของผู้ถือหุ้นเฉพาะบริษัท หน่วย : ล้านบาท งบกำไรขาดทุน ไตรมาส 3 ปี 2550 ไตรมาส 3 ปี 2549 (งบเฉพาะบริษัท) วิธีราคาทุน วิธีส่วนได้เสีย เพิ่ม (ลด) วิธีราคาทุน วิธีส่วนได้เสีย เพิ่ม (ลด) ส่วนแบ่งกำไร(ขาดทุน)จาก - 11 (11) - - - บริษัทย่อย งบดุล 30 กันยายน 2550 31 ธันวาคม 2549 (งบเฉพาะบริษัท) วิธีราคาทุน วิธีส่วนได้เสีย เพิ่ม (ลด) วิธีราคาทุน วิธีส่วนได้เสีย เพิ่ม (ลด) เงินลงทุนบริษัทย่อย 0.49 18 (17) 0.49 - 0.49 อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนโยบายบัญชีดังกล่าวส่งผลต่อการแสดงรายการบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเงิน ลงทุนในบริษัทย่อยในงบการเงินเฉพาะบริษัทเท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อการจัดทำงบการเงินรวมและ ปัจจัยพื้นฐานการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯแต่อย่างใด 5. ปัจจัยและอิทธิพลหลักที่อาจมีผลกระทบต่อการดำเนินงานหรือฐานะการเงินในอนาคต ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯซึ่งดำเนินธุรกิจน้ำมัน คือค่าการตลาดและค่าการกลั่น ในส่วนของ ค่าการตลาดจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนของราคาน้ำมัน ซึ่งส่งผลต่อการปรับราคาขายปลีกเนื่องจากการขึ้นลง ของราคาขายปลีกดังกล่าวทำได้ล่าช้ากว่าต้นทุนจริงที่เกิดขึ้น เมื่อพิจารณาในส่วนของค่าการกลั่น จากการที่โรงกลั่นของ บริษัทฯ เป็นโรงกลั่นประเภท Simple Refinery ซึ่งมีสัดส่วนผลิตภัณฑ์น้ำมันเตามากเมื่อเปรียบเทียบกับโรงกลั่นประเภท Complex Refinery โดยน้ำมันเตามีราคาต่ำกว่าราคาน้ำมันดิบ ทำให้ค่าการกลั่นของบริษัทฯ ถูกจำกัดไว้ ซึ่งบริษัทฯ มี ความจำเป็นต้องจัดหาแนวทางการลดสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาในระยะยาว เพื่อเพิ่มค่าการกลั่นให้อยู่ในระดับที่ทัดเทียม กับอุตสาหกรรม ดังนั้นบริษัทฯ จึงดำเนินโครงการปรับปรุงคุณภาพน้ำมัน (PQI) โดยการก่อสร้างหน่วยแตกตัวโมเลกุล น้ำมัน (Cracking Unit) และหน่วยอื่นๆ ซึ่งจะทำให้โรงกลั่นของบริษัทฯเปลี่ยนเป็นโรงกลั่นประเภท Complex Refinery ซึ่งสามารถลดสัดส่วนการผลิตน้ำมันเตาให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับโรงกลั่นอื่นๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และคาดว่าจะ ทำให้บริษัทฯสามารถเพิ่ม EBITDA จากระดับเฉลี่ย 2,000-4,000 ล้านบาท เป็นประมาณ 6,000-8,000 ล้านบาท หลังจาก ที่โครงการฯดำเนินการแล้วเสร็จสมบูรณ์ และดำเนินการผลิตอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภาวะราคาน้ำมัน ณ ขณะนั้นๆ ซึ่ง โครงการ PQI ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้วโดยมีมูลค่าการลงทุนรวมเงินลงทุนสำรองกรณีมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียด (ยังมีต่อ)